ชาดกเรื่องนี้เป็นหนึ่งในพระชาติที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงเสวยพระชาติเป็นนกกระจาบ

               ในกาลอันล่วงมานาน ( ครั้งมนุษย์ สัตว์และต้นไม้ยังพูดจาเข้าใจกัน) ยังมีนกกระจาบผัวเมียทำรังอยู่ในป่าอ้อแห่งหนึ่ง ( ก็เห็นจะเป็นป่าแถบหิมพานต์ ) นกกระจาบเมียกำลังมีลูกอ่อน เพิ่งฟักออกจากไข่ จึงต้องเฝ้ารังเลี้ยงดูลูก พ่อนกก็เป็นฝ่ายออกหาอาหาร เช้าวันหนึ่งพ่อนกออกจากรัง


             บินเที่ยวหาอาหาร ไปถึงสระแห่งหนึ่งมีดอกบัวกำลังดอกบานสพรั้ง ดอกหนึ่งใหญ่โตมาก เกสรหอมอบอวล พ่อนกก็ร่อนลงจิกกิน และคลุกเคล้าเกสรหวังจะพาไปฝากแม่นก มัวหลงเพลิดเพลินอยู่กับรสบัวจนแดดกล้า บัวก็หุบกลีบหุ้มพ่อนกไว้ จะบินออกไปมิได้ ก็จำใจซุกตัวอยู่ในดอกบัวนั้น

                วันนั้นบังเกิดไฟไหม้ป่า ลุกลามไปจนถึงป่าอ้อ แม่นกกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง ตั้งตารอพ่อนกก็ไม่เห็นกลับมา ไฟก็ลุกลามใกล้เข้าไปทุกที แม่นกตกใจและร้องใจเป็นห่วงลูก พยายามจะเอาลูกบินหนีไฟ ก็ไม่สำเร็จ จึงได้แต่บินเข้าบินออกจากรัง วุ่นวายใจบนบานเจ้าป่าเจ้าเขาให้ช่วยก็ไม่เป็นผล ไฟก็ไหม้ชิดเข้ามาจนถึงรัง เฟารังไหม้วอดไปพร้อมกับลูกนก แม่นกเศร้าโศกมาก หนีไฟไปเกาะกิ่งไม้ร่ำให้ แค้นใจว่าพ่อนกไปหลงอะไรอยู่จนพลบค่ำสิ้นแสงแดด



                  พอพระจันทร์ขึ้น น้ำค้างพรมต้องดอกบัว ดอกบัวก็ขยายกลีบรับแสงจันทร์ พ่อนกกำลังร้อนใจเป็นห่วงรัง ก็คาบเอาเกสรดอกบัว รีบบินข้ามป่าดง มาถึงที่อยู่ เห็นรังถูกไฟไหม้วอดวายพร้อมกับลูก เที่ยวบินวนเวียนเรยีกหาแม่นก ฝ่ายนางนกได้ยินเสียงผัวก็บินมาหาด้วยสีหน้าเง้างอด ต่อว่าพ่อนกว่าไปเที่ยวสนุกอบกลิ่นที่ไหนมา ลืมรังลืมเมีย ปล่อยให้ไฟคลอกรัง ลูกทั้งคู่ก็ตาย

              พ่อนกว่าไม่ใช่อย่างนั้น ที่หายไป เพราะไปติดอยู่ในดอกบัวพูดชี้แจงอย่างไร แม่นกก็ไม่ยอมเชื่อ ผินหลังตัดพ้อว่า พ่อนกยิ่งปลอบยิ่งโกรธ ที่สุดก็ว่า ไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไป พนมปีกอธิษฐานว่า จะขอตายตามลูก อันพวกชายนั้นสันดานสัปปลับนัก ไม่ขอคบค้าสมาคม หากได้เกิดใหม่จะไม่ขอพูดกับขายใดเป็นเด็ดขาด พ่อนกได้ฟังคำแม่นกว่าดังนั้น ก็ตั้งสัจอธิษฐานว่า เมียข้านี้ตายไป ไปเกิดเป็นอะไร ที่ไหน จะขอตามไปเกิดด้วยแล้วให้ได้พบกัน แม้นางจะไม่ยอมพูดกับชายใด ก็ขอให้ได้พูดกับเรา อย่าได้คลาดกันเลย

               นางอธิษฐานแล้วก็บินเข้ากองไฟ พ่อนกก็บินตามเข้าไปทั้งคู่ดับสังขารไปตามเวรกรรม อำนาจผลบุญที่นกทั้งสองได้กระทำแล้ว ครั้นดับชีพแล้วก็ได้มาเกิดเป็นมนุษย์

             พ่อนกกลับชาติมาเกิดเป็นลูกของโกญทัญญะและเขมา ( เข-มา) เศรษฐีบ้านจันตคามนครพาราณสี พ่อแม่ให้ชื่อว่า สรรพสิทธิ์ เพราะเป็นเด็กรูปงาม สติปัญญาเฉียบแหลม ครั้นเจริญวัยได้ ๑๕ ปี สรรพสิทธิ์ก็ลาบิดาไปเล่าเรียนกับอาจารย์เมืองตักศิลา บิดาจัดเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน รวมพันเอ็ดคนให้เป็นเพื่อนเดินทางไปด้วย สรรพสิทธิ์พร้อมเพื่อนและพี่เลี้ยงคู่ใจ



              ไปถึงกรุงตักศิลาก็เข้าฝากตัวกับทิศาปาโมกข์ผู้มีชื่อเสียง เล่าเรียนวิชาต่าง ๆ สำเร็จโดยเร็ว สรรพสิทธิ์กับพี่เลี้ยงสำเร็จวิชาพิเศษ คือวิชาถอดดองใจ ครั้นเล่าเรียนเจนจบแล้ว เพื่อนพันคนลาพระอาจารย์กลับบ้านเมือง ส่วนสรรพสิทธิ์กับพี่เลี้ยงยังคงปฏิบัติอาจารย์อยู่ต่อไป

             นางนกกลับชาติมาเกิดเป็นบุตรีท้าวพรหมทัต เมืองพาราณสีเมืองเดียวกับที่สรรพสิทธิ์เกิด พระธิดาองค์นี้พระโฉมงดงามยิ่งนัก พระบิดาประทานนามว่าสุวรรณเกสร    แต่นางมีลักษณะประหลาดอย่างหนึ่ง คือตั้งแต่เกิดจนอายุได้สิบห้าไม่พูดไม่กับชายใดเลย แม้พระบิดานางก็ไม่พูดด้วย




               พระบิดาแปลกพระทัยยิ่งนัก จึงให้นางกุสุมาราชเทวี ถามว่า โกรธเคืองพระองค์ด้วยเรื่องอะไรจึงไม่ยอมพูดด้วย นางสุวรรณเกสรก็ทูลว่า ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ที่เป็นดังนี้เพราะได้อธิษฐานจิตไว้แน่วแน่ ว่าจะไม่พูดกับชายใด พระบิดาได้ฟังสาเหตุก็ทรงงงงวยเต็มที แต่ก็ได้สร้างปราสาทปลอดผู้ชายให้พระราชธิดาประทับ

              จนนางเจริญวัยได้สิบห้าเป็นสาวเป็นแส้แล้วแต่ไม่ยอมพูดกับหนุ่ม “ มันผิดธรรมดาโลกีย์วิสัยอย่างชัด ๆ ต้องมีเหตุลึกลับสักอย่าง ” ดำริแล้วก็ให้แต่งสารไปถึงเจ้านครต่าง ๆ ว่าพระองค์จะทำการสยุมพรพระธิดา ขอให้ส่งเจ้าชายมาให้พระธิดาเลือกโดยให้ชวนพระธิดาพูดคุยด้วย พระธิดาเจรจาเสวนากับพระกุมารองค์ใด พระองค์ก็จะจัดเสกสมรส และยกพระนครให้ครอบครอง


            พระกุมารวัยรุ่นเหล่านั้น ผลัดเปลี่ยนกับเข้าไปชวนนางสุวรรณเกสรให้พูดด้วย แต่ไม่องค์ใดทำสำเร็จ ท้าวพรหมทัตก็ลดศักดิ์ของพวกผู้ชายลงมาถึงชั้นมนตรี ชั้นเศรษฐีคหบดี ก็ไม่มีชายชวนให้พระธิดาพูดด้วยได้ ในที่สุดพระองค์ก็ประกาศว่า     ชายใดก็ตามจะเป็นคนยากคนจนเข็ญใจก็ไม่ว่า     ถ้าสามารถชวนให้พระธิดาพูดด้วยก็จะยกนางให้พร้อมราชสมบัติ

              ฝ่ายสรรพสิทธิ์อยู่ปฏิบัติพระอาจารย์ต่อมาอีกระยะหนึ่ง ก็ลาพระอาจารย์เดินทางกลับเมืองพร้อมพี่เลี้ยง มาถึงบ้านก็เล่าเรื่องการไปเรียนวิชาให้บิดาฟัง ก็พอดีวันนั้นอำมาตย์คนหนึ่งของท้าวพรหมทัตมาเยี่ยมเศรษฐี ได้เห็นหน้าตาสรรพสิทธิ์ก็ชอบใจ ครั้นทราบว่าเป็นบุตรเศรษฐี อำมาตย์นั้นก็เล่าเรื่องนางสุวรรณเกสรให้เศรษฐีฟัง ทั้งขอให้สรรพสิทธิ์เข้าไปอาสา แล้าก็ลาเศรษฐีกลับมาทูลเรื่องราวทั้งหลายให้ท้าวพรหมทัตทรงทราบ



           ท้าวพรหมทัตก็ให้พาสรรพสิทธิ์มายังพระราชวัง จัดการให้สรรพสิทธิ์ได้เข้าเฝ้ากับพระธิดา

              ครั้น ได้เวลาพลบค่ำ สรรพสิทธิ์ก็ชวนพี่เลี้ยงคนสนิท ซึ่งไปไหนไปด้วยกันตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก ๆ เข้าไป ณ ปราสาทพระธิดา สรรพสิทธิ์ร่ายมนต์ถอดหัวใจพี่เลี้ยงใส่ไว้กับพระตูพระทวารห้องที่ประทับของ นางสวรรณเกสร

               ครั้งได้เวลายามต้น เจ้าสรรพสิทธิ์ก็พูดกับประตูพระทวารว่า “ ประตูเอ๋ย ข้ารับอาสาพระราชามาพูดกับพระธิดา แต่รออยู่ช้านานนางก็ยังไม่ออกมาเจรจาด้วย เรามาสนทนากันก่อนเป็นไร พี่ประตูมีเรื่องอะไร เล่าสู่กันฟังบ้างเถิด”

              ประตูก็ตอบว่า “ ข้าเป็นเพียงประตู ให้เขาเปิดเข้าเปิดออก บทกลอนอันใดก็ไม่รู้ จนใจจริง ๆ ไม่รู้จะเล่าอะไรให้ท่านฟัง”

       นางสุวรรณเกสร ประทับอยู่ในห้องได้ยินเสียงประตูพูดได้ ก็นึกพิศวงใจยิ่งนัก เกิดอยากรู้เรื่องต่อไป จึงแอบนั่งฟังอยู่ในม่านก็ได้ยินสรรพสิทธิ์พูดกับประตูว่า “ เมื่อพี่ประตูไม่มีอะไรจะเล่า ข้าก็จะเล่านิทานให้ฟังสักเรื่อง ฟังให้ดีนะ”

              ยังมีชายสี่คนเป็นเกลอรักใคร่กัน คนหนึ่งมีวิชายิงธนู คนหนึ่งรู้ประดาน้ำ คนหนึ่งรู้วิชาชุบคนตายให้ฟื้นคืนชีวิต คนหนึ่งเก่งทางหมอดู วันหนึ่งสี่เกลอชวนกันไปเที่ยว ไปนั่งพักร้อนอยู่ที่ชายหาดแห่งหนึ่ง เกลอคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ วันนี้เราจะมีลาภบ้างหรือไม่”

          เกลอผู้เชี่ยวชาญทางหมอดูจับยามดูฤกษ์ผานาทีแล้วก็ว่า วันนี้จะมีลาภใหญ่ นกอินทรีใหญ่จะนำมา “ พูดยังไม่ทันขาดคำ นกอินทรีตัวใหญ่บินพะเยิบ ๆ ใกล้เข้ามา

       มีนารีนางหนึ่งอยู่ในอุ้งเล็บนกอินทรี   เกลอผู้ชำนาญธนูก็ยกธนูปล่อยลูกธนูตรงไปที่นก พญานกอินทรีตกใจก็ปล่อยนารีนั้นตกลงในทะเล แล้วบินหนีไป

              เกลอที่เก่งประดาน้ำกระโจนว่ายน้ำไปพานางนั้นมาได้ แต่นางนั้นได้สิ้นใจเสียก่อนแล้ว และเกลอคนที่มีวิชาชุบคนตาย ก็รายมนต์ชุบนางให้ฟื้นคืนชีพ ที่นี้เกิดปัญหาว่า เกลอคนใดควรจะได้นางผู้เป็นลาภใหญ่นี้เป็นเจ้าของ

         เจ้าชาย สรรพสิทธิ์ถามประตูว่า เกลอคนใดควรจะได้นาง ประตูซึ่งมีหัวใจของพี่เลี้ยงสิงอยู่ตอบว่า คนที่สมควรได้นางก็คนที่เป็นหมอดูเพราะคนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าจะมีนกอินทรีพานางบินมา หมอดูรู้ก่อนจึงควรได้นาง

       นาง สุวรรณเกสรเห็นว่าประตูตัดสินผิด อดไม่ได้ จึงพูดกับประตูว่า “ ข้าอยู่ที่นี้มานานไม่เคยได้ยินเจ้าพูดเลย แต่พอได้ยินเจ้าพูดก็รู้ว่าเจ้าโง่เต็มที ตัดสินผิด ๆ พลาด ๆ คนที่ควรจะได้นางนั้นก็คือคนประดาน้ำ เขาได้ถูกเนื้อต้องตัวนางก่อนผู้อื่น ก็เท่ากับว่าเขาได้นางนั้นแล้ว ที่เจ้าตัดสินนั้นผิดไปถนัด ”

          พวกชาวสนมกำนัลและอำมาตย์ที่เฝ่าคอยดูเหตุการณ์ได้ยินนางสุวรรณเกสรพูดกับ ประตู เข้าใจว่าพูดกับเจ้าสรรพสิทธิ์ ก็ส่งสัญญานให้หมู่นักดนตรีพร้อมใจกันประโคมดนตรี ได้ยินไปถึงโสตท้าวพรหมทัต พระองค์ทรงพอพระทัย ว่าพ่อหนุ่มรูปงามคนนี้ น่าจะเป็นคู่สู่คู่สมกันมาแต่ชาติปางก่อนแน่ๆ

    ครั้นถึงยามสองฆ้องย่ำบอกยาม พนักงานก็นำ เจ้าสรรพสิทธิ์เข้าไปถึงชั้นชวาลาใกล้พระแท่นบรรทม เจ้าสรรพสิทธิ์พี่ถอดดวงใจพี่เลี้ยง ออกจากบานพระทวารไปใส่ไว้ที่ดวงชวาลา นั่งเงียบรออยู่นาน ครั้นเห็นนางสุวรรณสุเกสรเฉยอยู่ สรรพสิทธิ์ก็พูดกับดวงชวาลาว่า

    “ ข้านั่งอยู่เอกา หาเพื่อนเจรจามิได้ เหงาใจนัก ชวาลาเลยมีนิทานอันใด เมตตาเล่าให้ฟังแก้เหงาสักเรื่องเถิด ”

    ตะเกียงชวาลาตอบว่า “ ข้าเป็นแต่ดวงไฟให้ความสว่าง จะเอานิทานที่ไหนมาเล่า หากท่านมีจงเล่าไปเถิด ข้าจะฟัง ”

    นางสุวรรณเกสรได้ยินดวงชวาลาพูดก็ยิ่งประหลาดใจ ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ตะเกียงพูดได้ จึงสงบใจนิ่งฟังอยู่ เจ้าสรรพสิทธิ์เล่านิทานให้ชวาลาฟัง ( ที่จริงก็ตั้งใจจะให้นางสุวรรณเกสรฟังนั้นเอง )

        กาลครั้งหนึ่งมีช่างฝีมือวิเศษอยู่สี่คน คนหนึ่งเป็นช่างแกะสลักไม้ คนหนึ่งมีวิชาชุบชีวิต คนหนึ่งเป็นช่างเขียน คนหนึ่งเป็นช่างแต่งตัวไม้ให้เป็นรูปต่าง ๆ ได้อย่างใจ ช่างทั้งสี่เป็นเพื่อนกัน ได้รับตัวไม้มาทำบานประตูการเปรียญหลังหนึ่ง ช่างแต่งตัวไม้นำแผ่นมาตัด ไสกบ และแต่งเป็นบานประตู เรียบร้อยแล้วก็ส่งให้ช่างเขียนลงลวดลายช่างเขียนก็เขียนเป็รูปนางอัปสรงาม จับตา

         แล้วก็ส่งให้ช่างสลัก ช่างสลักก็สลักตามแบบเขียนจนได้เป็นตัวตนนางอัปสร ดูราวกับมีชีวิต แล้วก็ส่งให้เพื่อนผู้มนต์ชุบชีวิต บัดดลนางอัปสรไม้สลักก็กลับกลายเป็นนารีงามเลิศล้ำ แต่ร่างยังเปลือยเปล่า ( ยิ่งน่าชม ) จึงช่วยกันเอาผ้านุ่งห่มมาให้นางแต่ง ทีนี้เกิดเรื่อง เพื่อนทั้งสี่ต่างอยากได้นางเป็นของตน โต้เถียงไม่ตกลงกัน เออ ถ้าเพื่อนตะเกียงเป็นผู้ตัดสินความ เพื่อนตะเกียงเห็นว่านางควรจะได้กับเพื่อนคนใด ”

    ตะเกียงก็ตอบอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจว่า “ เพื่อนคนที่นำผ้ามาให้นางปิดบังร่างกายควรจะได้นางเป็นภรรยา ”

    นางสุวรรณเกสรนั่งฟังอยู่ข้างในอดรนทนไม่ได้ จึงพูดออกไปว่า “ นี่แน่ชวาลา ตั้งแต่ข้าเกิดมายังไม่เคยได้ยินชวาลาพูดได้ แต่ข้อความที่เจ้าพูดนี้ผิดธรรมเนียม ไม่สมเหตุสมผล ที่ถูกนั้นนางควรจะได้กับช่างแกะสลัก เพราะได้ลูบคลำทำรูปนางทั่วทั้งร่างกาย เพื่อนคนอื่นไม่เคยมีผู้ใดได้ต้องกายนางก่อนเลย ”

       ยังมีนิทานอีก สองเรื่อง แต่จะนำมาเล่าก็เห็นยืดยาวนัก ขอตัดตอนว่าท้าวพรหมทัตเห็นว่า พระธิดาได้พูดจากับเจ้าสรรพสิทธิ์ก็พอพระทัย โปรดให้จัดการอภิเษก แม้นางสุวรรณเกสรจะแย้งว่า นางไม่ได้เจรจากับเจ้าสรรพสิทธิ์ พูดกับประตูและชวาลาต่างหาก พระบิดาก้ไม่ยอมเชื่อ คิดว่าพระธิดาแกล้งบ่ายเบี่ยงเพราะความขวยเขินพระทัย ในที่สุดนางสุวรรณเกสรก็ได้ครองกับเจ้าสรรพสิทธิ์ทรงเพลิดเพลินสำราญพระทัย ยิ่งกว่าตอนที่ไม่ยอมพูดกับผู้ชายเป็นอย่างมาก

   สรรพสิทธิ์เสวยสุขารมณ์กับนางสุวรรณเกสร จนชักเบื่อพระราชวัง จึงขอลาพระชายาออกประพาสไพร กับพี่เลี้ยงคู่ชีวิตไว้วางพระทัย

           เจ้าสรรพสิทธิ์เสด็จออกจากวัง มีพี่เลี้ยงตามเสด็จเพียงคนเดียวทั้งคู่บ่ายหน้าเข้าป่าชื่นชมกับความวิเวก เปล่าเปลี่ยวของราวไพรและนกหกสิงห์สาราสัตว์ เป็นที่เพลิดเพลินพระทัยจนมาถึงที่แห่งหนึ่งพบกวางผู้ตัวหนึ่งนอนตายอยู่ เ จ้าสรรพสิทธิ์นึกถึงมนต์ถอดดวงใจขึ้นมาได้ไม่ได้ใช้มานาน จะหย่อนฤทธิ์เสียแล้ว หรืออย่างไร จึงบอกกับพี่เลี้ยงว่า จะถอดดวงใจของพระองค์ใส่ให้กวาง ให้พี่เลี้ยงดูแลร่างกายของพระองค์ไว้ พี่เลี้ยงก็รับคำ

         เจ้าสรรพสิทธิ์ก็ร่ายมหามนต์ถอดดวงใจใส่กวางตายตัวนั้นใส่กวางตายตัวนั้น อำนาจมหามนต์ กวางนั้นกลับพื้นคืนชีพ ลุกขึ้นวิ่งโจนเข้าป่าไปหาพวกกวางด้วยกัน เจ้าสรรพสิทธิ์ ก็ทรงพระสำราญอยู่กับเหล่านางกวางจนตะวันชาย

           ฝ่ายพี่เลี้ยงเฝ้าร่างเจ้าสรรพสิทธิ์อยู่เกิดความคิดประหลาดว่าเรานี้ก็อาจ เป็นกษัตริย์เป็นเจ้าบ้านครองเมือง แล้วได้เสวยสุขารมณ์อย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน คิดไปคิดมาก็เห็นทะลุปรุโปรง จำจะถอดดวงใจของเราใส่ในกายของเจ้าสรรพสิทธิ์แล้วเข้าไปในวัง นางสุวรรณเกสรก็คงไม่สงสัย ส่วนร่างของเราก็จะเผาเสีย เพื่อกลบเกลือนร่องรอยให้หมดสิ้น ทีนี้เราก็จะได้นางไว้ครอบครองเสพสุขในราชสมบัติ

               ความชั่วทำง่ายคิดแล้วก็ลงมือปฏิบัติทันที ถอดหัวใจตัวเข้าใส่ร่างเจ้าสรรพสิทธิ์ เผาร่างตัวเองเสร็จสรรพแล้ว ก็เดินทางเข้าวังขึ้นนั่งบนพระแท่นที่เจ้าสรรพสิทธิ์เคยประทับ พวกสาวสวรรค์กำนัลในก็เข้าปรนนิบัติอย่างเคย ด้วยเข้าใจว่าเป็นเจ้าสรรพสิทธิ์

       ส่วนนางสุวรรณเกสรนั้นเป็นหญิงเฉลี่ยวฉลาด มีปัญญารอบคอบ ครั้นเข้ามาเฝ้าเจ้าสรรพสิทธิ์ปลอมก็นึกฉงนใจ ว่าเหตุใดเจ้าพี่จึงมีอาการผิดเคยกริยาพาทีก็ไม่สุภาพนุ่มนวนอย่างแต่ก่อน ก็ถามว่า พระพี่เสด็จออกเที่ยวป่าสองคน เหตุใดจึงกลับมาแต่ผู้เดียว พี่เลี้ยงคู่ใจไปอยู่เสียที่ไหน พี่เลี้ยงในร่างของเจ้าสรรพสิทธิ์ตอบว่า พี่ฆ่ามันเสียแล้ว เกรงว่ามันจะคิดแย่งราชสมบัติ เพราะมันมีวิชาความรู้เท่า ๆ กับพี่ จะไว้ชีวิตมันไม่ได้

            พระนางสุวรรณเกสรได้ฟัง ก็นึกเห็นเรื่องราวตลอดว่าดีว่าร้ายพี่เลี้ยงคู่พระทัยคนนี้คิดกลทำร้ายพระ ภัสดาเป็นแน่แล้ว พระนางก็แสแสร้งพูดว่า พระพี่ทำดังนี้ดีแล้ว คนทรยศจะไว้ชีวิตนั้นมิควร พี่เลี้ยงได้ฟังดังนั้นก็ตายใจนึกว่านางสุวรรณเกสรคงเชื่อคำของตน

        พอค่ำ พี่เลี้ยงจอมทรยศ ก็ย่างกรายเข้าไปยังห้องพระบรรทมหวังเชยชมยอดหญิงผู้เป็นชายาเจ้านายของตน แต่อำนาจความซื่อสัตว์ของพระนาง พอพี่เลี้ยงเข้าไปใกล้ก็รู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจยิ่งนัก พยายามฝืนใจจะร่วมอภิรมณ์กับนาง ก็ไม่สมหวัง พระนางสุวรรเกสรก็ว่า วันนี้ประชวนเชิญไปหาความสำราญกับพระสนมกำนัลอื่นเถิด

                 

           ฝ่ายเจ้าสรรพสิทธิ์เที่ยวชมนางกวางเพลิน อยู่จนเวลาบ่ายคล้อยก็กลับมายังที่ที่ฝากร่างไว้กับพี่เลี้ยง เห็นพี่เลี้ยงหายไป เห็นแต่กองไฟ ก็นึกได้ทันที ( เพราะมีปัญญารุ่งโรจน์) ว่าพี่เลี้ยงได้ถอดดวงใจใส่ในร่างของพระองค์ บัดนี้คงเข้าไปวัง หลอกลวงคนทั้งหลายนึกแค้นพระทัยนัก เสียรู้เพราะรัก มินึกถึงคำโบราณที่ว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน และคำเตือนที่ว่า ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก อย่าพึงไว้วางใจ

         เกิดความโศกเศร้าปั่นป่วนพระทัยจนสิ้นสติสลบไป พอค่ำน้ำค้างพรมก็กลับรู้สึกพระองค์ ได้พระสติดำริว่า ไม่ควรจำนนต่อเคราะห์กรรม เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องเดินแก้ไขความร้ายต่าง ๆ ให้พ้นไป

         ก็พาร้างกวางดั้นด้นมาจนถึงไร่ตายาย ตายายชาวไร่สองคนนี้เลี้ยงนกแก้วไว้ตัวหนึ่ง คืนวันนั้นนกแก้วมีอันเป็นล้มตายลง ตายายก็เอาศพนกแก้วไปทิ้งนอกรั่วบ้าน พอดีใกล้รุ่ง  กวางสรรพสิทธิ์ด้นดั้นป่ามาพบเข้า เจ้าสรรพสิทธิ์ก็ถอดหัวใจออกจากกวางใส่ให้กับนกแก้ว

        นกแก้วกลับคืนชีพเป็นนกแก้วสรรพสิทธิ์รีบโผผินมายังพระราชวัง บินไปจับอยู่ที่พระแกลห้องของพระนางสุวรรณเกสร แล้วพูดว่า ข้าบินมาไกล หิวโหยยิ่งนักขอทานข้าวกินสักหน่อยเถิด พระเทวีแปลกพระทัย ที่นกพูดได้ ครั้นซักถามสองสามคำก็รู้ว่า นี่คือพระภัสดาในร่างนกแก้ว ทั้งรู้เรื่องที่เป็นมาอย่างโปร่งใส

         ก็วางแผนซ้อนกลเอานกแก้วซ่อนไว้ในปราสาทแล้วเสเด็จไปหาพี่เลี้ยงพูดว่า ตั้งแต่ได้มาเป็นพระภัสดา ก็รู้อยู่ว่ามีฤทธิ์มาก แต่ยังไม่เคยเห็นว่ามีฤทธิ์อย่างไร เจ้าสรรพสิทธิ์ปลอมก็ว่า จะแสดงฤทธิ์ให้ได้ชม ว่าแล้วก็สั่งให้อำมาตย์ไปหาแพะตายมาตัวหนึ่ง ว่าจะแสดงฤทธิ์ชุบแพะตายให้กลับมีชีวิต

      พวกอำมาตย์จัดทำพลับพลาหน้าพระลาน ให้เจ้าสรรพสิทธิ์ตัวปลอมแสดงฤทธิ์ อวดศักดาครั้นได้เวลาพี่เลี้ยงกับพระนางสุวรรณเกสร พร้อมสนมกำนัล ข้าราชบิพาร ก็มายังพลับพลา นางสุวรรณเกสรนั้นเอานกแก้วใส่ กรง ให้นางพระกำนัลถือตามไป

       ได้เวลาลั้นฆ้อง พี่เลี้ยงก็ร่ายมหามนต์ถอดดวงใจ ใส่ในร่างแพะ แพะนั้นก็กลับคืนชีพ ลุกขึ้นโลดเต้น ปวงประชาก็ให่ร้องชมเชย ขณะนั้นนางสุวรรณเกสร ก็เปิด กรงนกแก้วให้เจ้าสรรพสิทธิ์ร่ายมนต์ถ่ายดวงใจ กลับเข้าร่างของตน ดวงใจพี่เลี้ยงไปติดอยู่กับแพะ

       เจ้าสรรพสิทธิ์ก็รับสั่งให้พวกเสนาจับแพะมาถวายโดยเร็ว โปรดให้ฆ่าเสียว่าเป็นแพะอุบาทว์ ( ไม่ใช่แพะรับบาป ) คนทุจริตต้องได้รับโทษแห่งความทุจริตคิดมิชอบของตนอย่างแน่นอน พี่เลี้ยงทรยศก็ถึงกาลมรณาโดยชาวบ้านมิได้รู้เลศนัย

    เจ้าสรรพสิทธิ์หมดเคราะกรรมได้ครองราชสมบัติจนสิ้นพระชนม์