วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่าย ๆ
วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่าย
ๆ
สมาธิ
อันดับแรกขอให้ท่านผู้สนใจจงเข้าใจคำว่าสมาธิก่อนสมาธิ
แปลว่า ตั้งใจมั่นหมายถึงการตั้งใจแบบเอาจริงเอาจังนั่นเอง ตามภาษาพูดเรียกว่า
เอาจริงเอาจัง คือตั้งใจว่าจะทำอย่างไร
ก็ทำอย่างนั้นอย่างเคร่งครัดไม่เลิกล้มความตั้งใจ
ความประสงค์ที่เจริญสมาธิ
ความประสงค์ที่เจริญสมาธิก็คือต้องการให้อารมณ์สงัดและเยือกเย็น
ไม่มีความวุ่นวายต่ออารมณ์ที่ไม่ต้องการและความประสงค์ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ
อยากให้พ้นอบายภูมิ คือ ไม่เกิดเป็นสัตว์นรกเปรต อสุรกายสัตว์เดียรัจฉาน
อย่างต่ำถ้าเกิดใหม่ขอเกิดเป็นมนุษย์
และต้องการเป็นมนุษย์ชั้นดี
คือ
1.
เป็นมนุษย์
ที่มีรูปสวยไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ไม่มีอายุสั้นพลันตาย
2.
เป็นมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์ด้วยทรัพย์
ทรัพย์สินไม่เสียหายด้วยไฟไหม้, โจรเบียด-เบียน,น้ำท่วม หรือลมพัดทำลายให้เสียหาย
3.
เป็นมนุษย์ที่มีคนในปกครองอยู่ในโอวาทไม่ดื้อด้านดันทุรังให้มีทุกข์เสียทรัพย์สินและเสียชื่อเสียง
4.
เป็นมนุษย์
ที่มีวาจาไพเราะเมื่อพูดออกไปเป็นที่พอใจของผู้รับฟัง
5.
เป็นมนุษย์
ที่ไม่มีอาการปวดประสาทคือปวดศีรษะมากเกินไป
ไม่เป็นโรคประสาทไม่เป็นบ้าคลั่งเสียสติ
รวมความว่าโดยย่อก็คือ
ต้องการเป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุขทุกประการเป็นมนุษย์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินทุกประการ
ทรัพย์ไม่มีอะไรเสียหายจากภัย
๔ ประการคือ ไฟไหม้ ลมพัด โจรรบกวน น้ำท่วมและเป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุข
ไม่เดือดร้อนด้วยเหตุทุกประการ ฯลฯ
ประสงค์ให้เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์
บางท่านก็ต้องการไปเกิดบนสวรรค์เป็นนางฟ้าหรือเทวดาที่มีร่างกายเป็นทิพย์มีที่อยู่และสมบัติเป็นทิพย์ไม่มีคำว่าแก่, ป่วยและยากจน
(ความปรารถนาไม่สมหวัง)เพราะเทวดาหรือนางฟ้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
มีความปรารถนาสมหวังเสมอบางท่านก็อยากไปเกิดเป็นพรหม
ซึ่งมีความสุขและอานุภาพมากกว่าเทวดาและนางฟ้าบางท่านก็อยากไปนิพพาน
เป็นอันว่าความหวังทุกประการตามที่กล่าวมาแล้วนั้นจะมีผลแก่ทุกท่านแน่นอนถ้าท่านตั้งใจทำจริง
และปฏิบัติตามขั้นตอน
แบบที่บอกว่าง่ายๆนี้ถ้าปฏิบัติได้ครบถ้วน
ท่านจะได้ทุกอย่างตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดโดยใช้เวลาไม่นานนักจะช้าหรือเร็วอยู่ที่ท่านทำจริงตามคำแนะนำหรือไม่เท่านั้นเอง
อารมณ์ที่ต้องการในขณะปฏิบัติ
สำหรับอารมณ์ที่ต้องการในขณะปฏิบัติท่านต้องเข้าใจเสียก่อนว่า
เวลานั้นต้องการอารมณ์สบาย ไม่ใช่อารมณ์เครียดเมื่อมีอารมณ์เป็นสุขถือว่าใช้ได้
อารมณ์เป็นสุขไม่ใช่อารมณ์ดับสนิทจนไม่รู้อะไรเป็นอารมณ์ธรรมดาแต่มีความสบายเท่านั้นเอง
ยังมีความรู้สึกตามปกติทุกอย่าง
เริ่มทำสมาธิ
เริ่มทำสมาธิใช้วิธีง่าย
ๆไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก
ใช้ธูปเทียนเท่าที่มีบูชาพระใช้เครื่องแต่งกายตามที่ท่านแต่งอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องแต่งตัวสีขาว ฯลฯเป็นต้น เพราะไม่สำคัญที่เครื่องแต่งตัว
ความสำคัญจริง ๆ อยู่ที่ใจให้คุมอารมณ์ใจให้อยู่ตามที่เราต้องการก็ใช้ได้
อาการนั่ง
อาการนั่งถ้าอยู่ที่บ้านของท่านตามลำพัง
ท่านจะนั่งอย่างไรก็ได้ตามสบาย จะนั่งขัดสมาธินั่งพับเพียบ นั่งห้อยเท้าบนเก้าอี้
หรือ นอน ยืน เดิน ตามแต่ท่านจะสบายทั้งนี้หมายถึงหลังจากที่ท่านบูชาพระแล้ว
เสร็จแล้วก็เริ่มกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและหายใจออก คำว่า กำหนดรู้ คือหายใจเข้าก็รู้
หายใจออกก็รู้
ถ้าต้องการให้ดีมากก็ให้สังเกตด้วยว่าหายใจเข้ายาวหรือสั้นหายใจออกยาวหรือสั้น
ขณะที่รู้ลมหายใจนี้และเวลานั้นจิตใจไม่คิดถึงเรื่องอื่นๆ เข้าแทรกแซง
ก็ถือว่าท่านมีสมาธิแล้วการทรงอารมณ์รู้เฉพาะลมหายใจเข้าออก
โดยที่อารมณ์อื่นไม่แทรกแซงคือไม่คิดเรื่องอื่นในเวลานั้น
จะมีเวลามากหรือน้อยก็ตาม ชื่อว่าท่านมีสมาธิแล้วคือตั้งใจรู้ลมหายใจโดยเฉพาะ
ภาวนา
การเจริญกรรมฐานโดยทั่วไปนิยมใช้คำภาวนาด้วยเรื่องคำภาวนานี้อาตมาไม่จำกัดว่าต้องภาวนาอย่างไรเพราะแต่ละคนมีอารมณ์ไม่เหมือนกัน
บางท่านนิยมภาวนาด้วยถ้อยคำสั้นๆบางท่านนิยมใช้คำภาวนายาว ๆ
ทั้งนี้ก็สุดแล้วแต่ท่านจะพอใจอาตมาจะแนะนำคำภาวนาอย่างง่ายคือ "พุทโธ"
คำภาวนาบทนี้
ง่าย สั้นเหมาะแก่ผู้ฝึกใหม่ มีอานุภาพและมีอานิสงส์มาก
เพราะเป็นพระนามของพระพุทธเจ้าการนึกถึงชื่อของพระพุทธเจ้าเฉย ๆ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเรื่อง มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร
ว่าคนที่นึกถึงชื่อท่านอย่างเดียวตายไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ไม่ใช่นับร้อยนับพันพระองค์ตรัสว่านับเป็นโกฏิๆเรื่องนี้จะนำมาเล่าข้างหน้าเมื่อถึงวาระนั้น
เมื่อภาวนาควบคู่กับรู้ลมหายใจจงทำดังนี้เวลาหายใจเข้านึกว่า
"พุท" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ"
ภาวนาควบคู่กับรู้ลมหายใจตามนี้เรื่อย ๆ ไปตามสบาย
ถ้าอารมณ์ใจสบายก็ภาวนาเรื่อยๆไป
แต่ถ้าเกิดอารมณ์ใจหงุดหงิดหรือฟุ้งจนตั้งอารมณ์ไม่อยู่ก็จงเลิกเสีย จะเลิกเฉย
ๆหรือดูโทรทัศน์ หรือฟังวิทยุหรือหาเพื่อนคุยให้อารมณ์สบายก็ได้
(เพื่อเป็นการผ่อนคลายอารมณ์)
อย่ากำหนดเวลาตายตัวว่าต้องนั่งให้ครบเวลาเท่านั้นเท่านี้แล้วจึงจะเลิกถ้ากำหนดอย่างนั้นเกิดอารมณ์ฟุ้งซ่านขึ้นมาจะเลิกก็เกรงว่าจะเสียสัจจะที่กำหนดไว้ใจก็เพิ่มการฟุ้งซ่านมากขึ้น
ถ้าเป็นเช่นนี้บ่อยๆก็จะเกิดเป็นโรคประสาทหรือเป็นโรคบ้า
ขอทุกท่านจงอย่าทนทำอย่างนั้น
ขณิกสมาธิ
อารมณ์ที่ทรงสมาธิระยะแรกนี้จะทรงไม่ได้นานเพราะเพิ่งเริ่มใหม่
ท่านเรียกสมาธิระยะนี้ว่า "ขณิกสมาธิ"
คือสมาธิเล็กน้อยความจริงสมาธิถึงแม้ว่าจะทรงอารมณ์ไม่ได้นานก็มีอานิสงส์มาก
ฝึกทรงอารมณ์
อารมณ์ทรงสมาธิถึงแม้ว่าจะทรงไม่ได้นานแต่ท่านทำด้วยความเคารพก็มีผลมหาศาลแต่ถ้ารักษาอารมณ์ได้นานกว่า
มีสมาธิดีกว่าจะมีผลมากกว่านั้นมากการฝึกทรงอารมณ์ให้อยู่ นาน
หรือที่เรียกว่ามีสมาธินานนั้น ในขั้นแรกให้ทำดังนี้
ให้ท่านภาวนาควบกับรู้ลมหายใจเข้าออก
หายใจเข้านึกว่า"พุท" หายใจออกนึกว่า"โธ" ดังนี้ นับเป็นหนึ่ง
นับอย่างนี้สิบครั้งโดยตั้งใจว่าในขณะที่ภาวนาและรู้ลมเข้าลมออกอย่างนี้
ในระยะสิบครั้งนี้เราไม่ยอมให้อารมณ์อื่นเข้ามาแทรก
คือไม่ยอมคิดอย่างอื่นจะประคองใจให้อยู่ในคำภาวนาและรู้ลมเข้าลมออกทำครั้งละสิบเพียงเท่านี้
ไม่ช้าสมาธิของท่านจะทรงตัวอยู่อย่างน้อยสิบนาทีหรือถึงครึ่งชั่วโมง
จะเป็นอารมณ์ที่เงียบสงัดมากอารมณ์จะสบายจงพยายามทำอย่างนี้เสมอๆทางที่ดีทำแบบนี้เมื่อเวลานอนก่อนหลับและตื่นใหม่ๆ
จะดีมากบังคับอารมณ์เพียงสิบเท่านั้นพอใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนจะสามารถทรงอารมณ์เป็นฌานได้เป็นอย่างดี
เรื่องของอารมณ์เป็นของไม่แน่นอนนักในกาลบางคราวเราสามารถควบคุมได้ตามที่เราต้องการแต่ในกาลบางคราวเราก็ไม่สามารถควบคุมได้
เพราะกระสับกระส่ายเสียจนคุมไม่อยู่ในตอนนั้นควรจะยอมแพ้มัน
เพราะถ้าขืนต่อสู้จะเกิดอารมณ์หงุดหงิดหรือเครียดเกินไป
อย่าฝืนอารมณ์มากนัก
ในที่สุดถ้าฝืนเสมอๆ
แบบนั้นอารมณ์จะกลุ้ม สมาธิจะไม่เกิด สิ่งที่จะเกิดแทนก็คืออารมณ์กลุ้ม
เมื่อปล่อยให้กลุ้มบ่อย ๆ ก็อาจจะเป็นโรคประสาทได้
ข้อที่ควรระวังก็คือ
ทำแบบการนับดังกล่าวแล้วนั้น
สามารถทำได้ถึงสิบครั้งหรือบางครั้งทำได้เกินสิบก็ทำเรื่อยๆ
ไปถ้าภาวนาไปไม่ถึงสิบอารมณ์เกิดรวนเรกระสับกระส่ายให้หยุดพักประเดี๋ยวหนึ่งแล้วทำใหม่
สังเกตดูอารมณ์ว่าจะสามารถควบคุมภาวนาไปได้ไหมถ้าสามารถควบคุมให้อยู่ภายในขอบเขตของภาวนาได้และรู้ลมหายใจเข้าออกควบคู่กันไปได้ดีก็ทำเรื่อยๆไป
แต่ถ้าควบคุมไม่ไหวจริงๆ ให้พักเสียก่อน
จนกว่าใจจะสบายแล้วจึงทำใหม่หรือเลิกไปเลยวันนั้นพักไม่ต้องทำเลยปล่อยอารมณ์ให้รื่นเริงไปกับการคุย
หรือชมโทรทัศน์ หรือฟังวิทยุหรือหลับไปเลยเพื่อให้ใจสบายให้ถือว่าทำได้เท่าไรพอใจเท่านั้นถ้าทำอย่างนี้ไม่ช้าจะเข้าถึงจุดดีคือ
อารมณ์ฌาน
ฌาน คือ
อารมณ์ชิน ได้แก่ เมื่อต้องการจะรู้ลมหายใจเข้าออกเมื่อไร
อารมณ์ทรงตัวทันทีไม่ต้องเสียเวลาตั้งท่าตั้งทางเลย
ภาวนาเมื่อไรใจสบายเมื่อนั้นแต่ทว่าอารมณ์ฌานโลกีย์ที่ทำได้นั้น เอาแน่นอนไม่ได้
เมื่อร่างกายปกติ ไม่เหนื่อยไม่เพลีย ไม่ป่วยมันก็สามารถคุมอาการภาวนา
หรือรู้ลมหายใจเข้าออกได้สบายไม่มีอารมณ์ขวาง
แต่ถ้าร่างกายบกพร่องนิดเดียวเราก็ไม่สามารถคุมให้อยู่ตามที่เราต้องการได้ ฉะนั้น
ถ้าหลงระเริงเล่นแต่อารมณ์สมาธิอย่างเดียว จะคิดว่าเราตายคราวนี้หวังได้สวรรค์ ,พรหมโลก นิพพานนั้น
(เอาแน่นอนไม่ได้) เพราะถ้าก่อนตายมีทุกขเวทนามากจิตอาจจะทรงอารมณ์ไม่อยู่
ถ้าจิตเศร้าหมองขุ่นมัวเมื่อก่อนตาย อาจจะไปอบายภูมิ คือ
นรก, เปรต,อสุรกาย,
สัตว์เดียรัจฉานได้
ถ้าหลงทำเฉพาะสมาธิไม่หาทางเอาธรรมะอย่างอื่นเข้าประคับประคองถ้าเมื่อเวลาตายเกิดมีอารมณ์เศร้าหมองเข้าครองใจ
สมาธิก็ไม่สามารถช่วยได้จึงต้องใช้ธรรมะอย่างอื่นเข้าประคองใจด้วยธรรมะที่ช่วยประคองใจให้เกิดความมั่นคงไม่ต้องลงอบายภูมิมีนรกเป็นต้นก็ได้แก่
"กรรมบถ ๑๐ ประการ"
กรรมบถ ๑๐
ประการ
1.
ไม่ฆ่าสัตว์หรือไม่ทรมานสัตว์ให้ได้รับความลำบาก
2.
ไม่ลักทรัพย์
คือไม่ถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่เขาไม่ให้ด้วยความเต็มใจ
3.
ไม่ทำชู้ในบุตรภรรยาและสามีของผู้อื่น(ขอแถมนิดหนึ่งไม่ดื่มสุราและเมรัยที่ทำให้มึนเมาไร้สติ)
4.
ไม่พูดจาที่ไม่ตรงความเป็นจริง
5.
ไม่พูดวาจาหยาบคายให้สะเทือนใจผู้รับฟัง
6.
ไม่พูดส่อเสียดยุให้รำตำให้รั่วทำให้ผู้อื่นแตกร้าวกัน
7.
ไม่พูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหล
8.
ไม่คิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นที่เจ้าของเขาไม่ยกให้
9.
ไม่คิดประทุษร้ายใครคือไม่จองล้างจองผลาญเพื่อทำร้ายใคร
10. เชื่อพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านด้วยดี
อานิสงส์กรรมบถ 10
ท่านที่ปฏิบัติในกรรมบถ
๑๐ประการนี้ ท่านเรียกชื่อเป็นกรรมฐานกองหนึ่งเหมือนกัน คือ ท่านเรียกว่า
สีลานุสสติกรรมฐาน หมายความว่าเป็นผู้ทรงสมาธิในศีล ท่านที่ปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐
ประการได้นั้นมีอานิสงส์ดังนี้
1.
อานิสงส์ข้อที่หนึ่ง
จะเกิดเป็นคนรูปสวยไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนยาว ไม่อายุสั้นพลันตาย
2.
อานิสงส์ข้อที่สองเกิดเป็นคนมีทรัพย์มาก
ทรัพย์ไม่ถูกทำลายเพราะโจร , ไฟไหม้, น้ำท่วม , ลมพัด
จะมีทรัพย์สมบัติสมบูรณ์บริบูรณ์ขั้นมหาเศรษฐี
3.
อานิสงส์ข้อที่สาม
เมื่อเกิดเป็นคนจะมีคนที่อยู่ในบังคับบัญชาเป็นคนดี , ไม่ดื้อด้านอยู่ภายในคำสั่งอย่างเคร่งครัดมีความสุขเพราะบริวารและการไม่ดื่มสุราเมรัยเมื่อเกิดเป็นคนจะไม่มีโรคปวดศีรษะที่ร้ายแรง,
ไม่เป็นโรคเส้นประสาท, ไม่เป็นคนบ้าคลั่งจะเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์,
มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เรื่องของวาจา
4.
อานิสงส์ข้อที่สี่, ข้อห้า, ข้อหก และข้อเจ็ด เมื่อเกิดเป็นคน จะเป็นคนปากหอม หรือมีเสียงทิพย์
คนที่ได้ยินเสียงท่านพูด เขาจะไม่อิ่มไม่เบื่อในเสียงของท่านถ้าเรียกตามสมัยปัจจุบัน
จะเรียกว่าคนมีเสียงเป็นเสน่ห์ก็คงไม่ผิดจะมีความเป็นอยู่ที่เป็นสุขและทรัพย์สินมหาศาลเพราะเสียง
5.
อานิสงส์ข้อที่แปด
,ข้อเก้า และข้อสิบ
เป็นเรื่องของใจ คืออารมณ์คิดถ้าเว้นจากการคิดลักขโมย เป็นต้น
ไม่คิดจองล้างจองผลาญใคร, เชื่อพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามคำสอนของท่านด้วยความเคารพ,
ถ้าเกิดเป็นมนุษย์จะเป็นคนมีอารมณ์สงบ, มีความสุขสบายทางใจความเดือดเนื้อร้อนใจในกรณีใดๆทุกประการจะไม่มีเลย
มีแต่ความสุขใจอย่างเดียว
อานิสงส์รวม
เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์รวมแล้วผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานในขั้นนี้
ถึงแม้ว่าจะทรงสมาธิไม่ได้นาน ตามที่เรียกว่าขณิกสมาธิ นั้น ถ้าสามารถทรงกรรมบถ ๑๐
ประการได้ครบถ้วนท่านกล่าวว่าเมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว
ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไปบาปที่ทำไว้ตั้งแต่สมัยใดก็ตาม ไม่มีโอกาส
นำไปลงโทษในอบายภูมิ มีนรกเป็นต้นอีกต่อไป ถ้าบุญบารมีไม่มากกว่านี้
ตายจากคนไปเป็นเทวดาหรือพรหม
เมื่อหมดบุญแล้วลงมาเกิดเป็นมนุษย์
จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้นแต่ถ้าเร่งรัดการบำเพ็ญเพียรดี , รู้จักใช้ปัญญาอย่างมีเหตุผล
ก็สามารถบรรลุมรรคผลเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาตินี้
แนะวิธีรักษากรรมบถ ๑๐
ประการ
การที่จะทรงความดีเต็มระดับตามที่กล่าวมาให้ครบถ้วนให้ปฏิบัติดังนี้
1.
คิดถึงความตาย
ไว้ในขณะที่สมควรคือไม่ใช่ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อตื่นขึ้นใหม่ ๆ
อารมณ์ใจยังเป็นสุข ก่อนที่จะเจริญภาวนาอย่างอื่น
ให้คิดถึงความตายก่อนคิดว่าความตายอาจจะเข้ามาถึงเราในวันนี้ก็ได้
จะตายเมื่อไรก็ตามเราไม่ขอลงอบายภูมิที่เราจะไปคือ อย่างต่ำไปสวรรค์ , อย่างกลางไปพรหมถ้าไม่เกินวิสัยแล้วขอไปนิพพานแห่งเดียวคิดว่าไปนิพพานเป็นที่พอใจที่สุดของเรา
2.
คิดต่อไปว่า เมื่อความตายจะเข้ามาถึงเราจะเป็นเวลาใดก็ตาม
เราขอยึดพระพุทธเจ้าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิตคือไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า
ยอมเคารพด้วยความศรัทธาคือความเชื่อถือในพระองค์ ขอปฏิบัติตามคำสอน คือกรรมบถ ๑๐
ประการโดยเคร่งครัดถ้าความตายเข้ามาถึงเมื่อไรขอไปนิพพานแห่งเดียว
เมื่อนึกถึงความตายแล้วตั้งใจเคารพ พระพุทธเจ้า พระธรรม
พระสงฆ์สาวกแล้วตั้งใจนึกถึงกรรมบถ ๑๐ ประการว่ามีอะไรบ้าง ตั้งใจจำ
และพยายามปฏิบัติตามอย่าให้พลั้งพลาดคิดติดตามข้อปฏิบัติเสมอว่า มีอะไรบ้าง ตั้งใจไว้เลยว่า
วันนี้เราจะไม่ยอมละเมิดสิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่งเป็นอันขาดเป็นธรรมดาอยู่เองการที่ระมัดระวังใหม่ๆ
อาจจะมีการพลั้งพลาดพลั้งเผลอในระยะต้นๆบ้างเป็นของธรรมดา
แต่ถ้าตั้งใจระมัดระวังทุกๆวันไม่นานนักอย่างช้าไม่เกิน
๓ เดือน ก็สามารถรักษาได้ครบมีอาการชินต่อการรักษาทุกสิกขาบทจะไม่มีการผิดพลาดโดยที่เจตนาเลยเมื่อท่านใดทรงอารมณ์กรรมบถ
๑๐
ประการได้โดยไม่ต้องระวังก็ชื่อว่าท่านทรงสมาธิขั้นขณิกสมาธิได้ครบถ้วนเมื่อตายท่านไปสวรรค์หรือพรหมโลกได้แน่นอน
ถ้าบารมียังอ่อนเกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียวไปนิพพานแน่ ถ้าขยันหมั่นเพียรใช้ปัญญาแบบเบา
ๆ ไม่เร่งรัดเกินไป รักษาอารมณ์ใจให้เป็นสุขไม่ติดในความโลภ ไม่วุ่นวายในความโกรธ
มีการให้อภัยเป็นปกติ
ไม่เมาในร่างกายเรา
และร่างกายเขาไม่ช้าก็บรรลุพระนิพพานได้แน่นอน เป็นอันว่าการปฏิบัติขั้น
"ขณิกสมาธิ" จบเพียงเท่านี้
อุปจารสมาธิ
อุปจารสมาธิ หมายถึง
สมาธิเฉียดฌาน คือ
ใกล้จะถึงปฐมฌานมีกำลังใจเป็นสมาธิสูงกว่าขณิกสมาธิเล็กน้อยต่ำกว่าปฐมฌานนิดหน่อยเป็นสมาธิที่มีอารมณ์ชุ่มชื่นเอิบอิ่มผู้ปฏิบัติพระกรรมฐานถ้าอารมณ์เข้าถึงอุปจารสมาธิแล้ว
จะมีความเอิบอิ่มชุมชื่นไม่อยากเลิก
ท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงสมาธิขั้นนี้
จึงต้องระมัดระวังตัวให้มากเคยพักผ่อนเวลาเท่าไร
เมื่อถึงเวลานั้นต้องเลิกและพักผ่อน
ถ้าปล่อยอารมณ์ความชุ่มชื่นที่เกิดแก่จิตไม่คิดจะพักผ่อนไม่ช้าอาการเพลียจากประสาทร่างกายจะเกิดขึ้น
ในที่สุดอาจเป็นโรคประสาทได้
ที่ต้องรักษาประสาทก็เพราะปล่อยใจให้เพลิดเพลินเกินไปจนไม่ได้พักผ่อนต้องเชื่อคำเตือนของพระพุทธเจ้าที่ท่านแนะนำ
ปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ มีท่านอัญญาโกณฑัญญะ
เป็นประธานโดยที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเธอทั้งหลายจงละส่วนสุดสองอย่าง คือ
1.
ปฏิบัติเครียดเกินไปจนถึงขั้นทรมานตน
คือเกิดความลำบาก
2.
ความอยากได้เกินไปจิตใจวุ่นวายเพราะความอยากได้
จนอารมณ์ไม่สงบ
ถ้าเธอทั้งหลายติดอยู่ในส่วนสุดสองอย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
ผลในการปฏิบัติคือมรรคผลจะไม่มีแก่เธอเลย ขอให้ทุกคนตั้งอยู่ใน มัชฌิมาปฏิปทา
คืออารมณ์ปานกลางได้แก่ "อารมณ์พอสบาย"
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแนะไว้อย่างนี้ ก็ยังมีบางท่านฝ่าฝืนปฏิบัติเพลิดเพลินเกินไป
ไม่พักผ่อนตามเวลาที่เคยพักผ่อน
จึงเกิดอารมณ์ฟุ้งซ่านวุ่นวายจนเป็นโรคประสาททำให้พระพุทธศาสนาต้องถูกกล่าวหาว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานทำให้คนเป็นบ้า
ฉะนั้นขอท่านนักปฏิบัติทุกท่าน จงอย่าฝืนคำแนะนำของพระพุทธเจ้า
จงรู้จักประมาณเวลาที่เคยพักผ่อน
ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ และปฏิบัติแค่อารมณ์สบาย
ถ้าเกินเวลาพักที่เคยพักก็ดีอารมณ์ฟุ้งซ่านวุ่นวายคุมไม่อยู่ก็ดีขอให้พักการปฏิบัติเพียงแค่นั้น
พักให้สบายพอใจผลที่ได้แล้วเพียงนั้น ปล่อยอารมณ์ใจให้รื่นเริงไปตามปกติ
นิมิตทำให้บ้า
นิมิต
นิมิตคือภาพที่ปรากฏให้เห็นเพราะเมื่อกำลังสมาธิเข้าถึงระยะอุปจารสมาธินี้จิตใจเริ่มสะอาดจากกิเลสเล็กน้อย
เมื่อจิตเริ่มสะอาดจากกิเลสพอสมควรตามกำลังของสมาธิที่กดกิเลสไว้
ยังไม่ใช่การตัดกิเลส อารมณ์ใจเริ่มเป็นทิพย์นิดๆ
หน่อยๆยังไม่มีความเป็นทิพย์ทรงตัวพอที่จะเป็นทิพจักขุญาณได้จิตที่สะอาดเล็กน้อยนั้นจะเริ่มเห็นภาพนิด
ๆ หน่อย ๆ ชั่วแว้บเดียว..คล้ายแสงฟ้าแลบคือ
ผ่านไปแว้บหนึ่งก็หายไปถ้าต้องการให้เกิดใหม่ก็ไม่เกิดเรียกร้องอ้อนวอนเท่าไรก็ไม่มาอีกท่านนักปฏิบัติต้องเข้าใจตามนี้ว่าภาพอย่างนี้เป็นภาพที่ผ่านมาชั่วขณะจิตไม่สามารถบังคับภาพนั้นให้กลับมาอีกได้หรือบังคับให้อยู่นานมาก
ๆก็ไม่ได้เหมือนกันภาพที่ปรากฏนี้จะทรงตัวอยู่นานหรือไม่นานอยู่ที่สมาธิของท่านเมื่อภาพปรากฏ
ถ้ากำลังใจของท่านไม่ตกใจพลัดจากสมาธิภาพนั้นก็ทรงตัวอยู่นานเท่าที่สมาธิทรงตัวอยู่
ถ้าเมื่อภาพปรากฏท่านตกใจสมาธิก็พลัดตกจากอารมณ์ ภาพนั้นก็จะหายไป
ส่วนใหญ่จะลืมความจริงไปว่าเมื่อภาพจะปรากฏนั้นเป็นอารมณ์สงัดไม่มีความต้องการอะไรจิตสงัดจากกิเลสนิดหน่อยจึงเห็นภาพได้ครั้นเมื่อภาพปรากฎแล้ว
เกิดมีอารมณ์อยากเห็นต่อไปอีกอาการอยากเห็นนี้แหละเป็นอาการฟุ้งซ่านของจิต
จิตตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสจิตมีความสกปรกเพราะกิเลส
อย่างนี้ต้องการเห็นเท่าไรก็ไม่เห็น
เมื่อไม่เห็นตามความต้องการก็เกิดความกลุ้มยิ่งกลุ้มความฟุ้งซ่านยิ่งเกิด
เมื่อความปรารถนาไม่สมหวังในที่สุดก็เป็นโรคประสาท(บางรายบ้าไปเลย)
ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่เชื่อตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้าที่ทรงแนะนำไว้ว่า
จงอย่ามีอารมณ์อยากหรืออย่าให้ความอยากได้เข้าครอบงำบังคับบัญชาจิต
เมื่อนิมิตเกิดขึ้นควรทำอย่างไร
คำว่า
"นิมิต" มี ๒ ประเภทคือ "นิมิตที่เราสร้างขึ้น" กับ
"นิมิตที่ลอยมาเอง"
1.
นิมิตที่เราสร้างขึ้น
จะแนะนำในระยะต่อไปนิมิตประเภทนี้ต้องรักษาหรือควบคุมให้ทรงอยู่เพราะเป็นนิมิตที่สร้างกำลังใจให้ทรงสมาธิได้นานหรืออาจสร้างกำลังสมาธิให้ทรงอยู่นานตามที่เราต้องการ
2.
นิมิตลอยมาเอง
สำหรับนิมิตประเภทนี้ในที่บางแห่งท่านแนะนำว่าควรปล่อยไปเลยอย่าติดใจจำภาพนั้น
หรือไม่สนใจเสียเลย
เพราะเป็นนิมิตที่ไม่มีความแน่นอนถ้าขืนจำหรือจ้องต้องการภาพ
ภาพนั้นจะหายไปกำลังใจจะเสีย
แต่บางท่านแนะนำว่าเมื่อนิมิตเกิดขึ้นจะปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปในนิมิตนั้นก็ได้เพราะใจจะได้เป็นสุข
จะมีความชุ่มชื่นในนิมิตนั้น เป็นเหตุให้ทรงสมาธิได้ดีแต่จงอย่าหลงในนิมิต
ถ้านิมิตหายไปก็ปล่อยใจไปตามสบาย
ไม่ติดใจในนิมิตนั้นคงภาวนาไปตามปกติทั้งสองประการนี้ขอให้ท่านนักปฏิบัติเลือกเอาตามแต่อารมณ์ใจจะเป็นสุขแต่ขอเตือนไว้นิดหนึ่งว่าเมื่อนิมิตปรากฏขึ้นถ้าปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับนิมิตท่านอย่าลืมว่าเมื่อนิมิตหายไปนั้นเพราะใจเราพลัดจากสมาธิให้เริ่มตั้งอารมณ์โดยจับลมหายใจและภาวนาไปใหม่
ไม่สนใจกับภาพนิมิตที่หายไป
จงอย่าลืมว่านิมิตเกิดขึ้นมาเพราะจิตมีสมาธิ
และเราไม่อยากเห็นจึงเป็นได้และ นิมิตนั้นไม่ใช่ทิพจักขุญาณ
เมื่อหายไปก็เชิญหายไปเราไม่สนใจกับ
นิมิตอีกเราจะรักษาอารมณ์ใจให้เป็นสุขจากคำภาวนาและรู้ลมหายใจต่อไปถ้าความกระวนกระวายเกิดขึ้นให้เลิกเสียทันที
สร้างนิมิตให้เกิดขึ้น
เรื่องสร้างนิมิตนี้
ในที่นี้ไม่มีการบังคับ ท่านต้องการสร้างก็สร้าง
ท่านไม่ต้องการสร้างก็ไม่ต้องสร้าง สุดแล้วแต่ความต้องการ
ขอแนะนำผู้ที่ต้องการสร้างไว้ดังนี้การสร้างนิมิตมีหลายแบบ
แต่ทว่าในหนังสือนี้แนะนำกรรมฐานหลัก คือ
พุทธานุสสติกรรมฐาน
จึงขอแนะนำเฉพาะกรรมฐานกองนี้อันดับแรกขอให้ท่านหาพระพุทธรูปที่ท่านชอบใจสักองค์หนึ่ง
ถ้าบังเอิญหาไม่ได้ก็ไม่ต้องหาให้นึกถึงพระพุทธรูปที่วัดไหนก็ได้ที่ท่านชอบใจที่สุดถ้านึกถึงพระพุทธรูปแล้วใจไม่จับในพระพุทธรูป
จิตจดจ่อในรูปพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งที่ท่านชอบก็ได้
เมื่อนึกถึงภาพพระพุทธรูปก็ดีภาพพระสงฆ์ก็ดี
ให้จำภาพนั้นให้สนิทใจแล้วภาวนาว่า"พุทโธ" พร้อมกับจำภาพพระนั้น ๆ
ไว้ถ้าท่านมีพระพุทธรูปให้ท่านนั่งข้างหน้าพระพุทธรูปลืมตามองดูพระพุทธรูปแล้วจดจำภาพพระพุทธรูปให้ดีรูปพระพุทธรูปนั้นเป็นกรรมฐานได้สองอย่างคือ
เป็น
พุทธานุสสติ
นึกถึงพระพุทธเจ้าก็ได้
และเป็นกสิณก็ได้
เมื่อท่านมีความรู้สึกว่ารูปที่ตั้งอยู่ข้างหน้าเรานี้เป็นพระพุทธรูป
ความรู้สึกอย่างนั้นของท่านเป็น
"พุทธานุสสติกรรมฐาน"ถ้ามีความรู้สึกตามสีของพระพุทธรูป เช่น
พระพุทธรูปสีเหลือง เป็นปิตกสิณ ถ้าพระพุทธรูปเป็นสีขาว เป็น โอทาตกสิณ
ถ้าพระพุทธรูปสีเขียว เป็นนีลกสิณ ทั้งสามสีนี้
สีใดสีหนึ่งก็ตามเป็นกสิณระงับโทสะเหมือนกันเมื่อท่านจะสร้างนิมิตให้ทำดังนี้
อันดับแรกให้ลืมตามองดูพระพุทธรูปจำภาพพระพุทธรูปพร้อมทั้งสีให้ครบถ้วนในขณะนั้นเมื่อเราเห็นสีพระพุทธรูปไม่ต้องนึกว่าเป็นกสิณอะไร
ตั้งใจจำเฉพาะพระพุทธรูปเท่านั้น เมื่อจำได้แล้วหลับตานึกถึงภาพพระพุทธรูปนั้น
ภาวนาควบกับลมหายใจเข้าออกไปตามปกติ เมื่อภาวนาไปไม่นานนัก
ภาพพระอาจจะเลือนจากใจเรื่องภาพเลือนจากใจนี้เป็นของธรรมดาของผู้ฝึกใหม่
เมื่อภาพเลือนไปก็ลืมตาดูภาพพระใหม่ทำอย่างนี้สลับกันไป
เมื่อเวลาจะนอนให้จำภาพพระไว้ตั้งใจนึกถึงภาพพระ นอนภาวนาจนหลับไป ทั้ง ๆ
ที่จำภาพพระไว้อย่างนั้น แต่ถ้าภาวนาไปเกิดมีอารมณ์วุ่นวายนอนไม่ยอมหลับ
ต้องเลิกจับภาพพระและเลิกภาวนาปล่อยใจคิดไปตามสบายของใจมันจนกว่าจะหลับไป
อานิสงส์สร้างนิมิต
การสร้างนิมิตมีอานิสงส์อย่างนี้คือ
ทำให้ใจเกาะนิมิตเป็นสมาธิได้ง่ายและทรงสมาธิได้นานตามสมควร
สามารถสร้างจิตให้เข้าถึงระดับฌานได้รวดเร็ว
ขั้นตอนของนิมิต
นิมิตขั้นแรกเรียกว่า
อุคหนินิมิต อุคหนิมิตนี้มีหลายขั้นตอนในตอนแรกเมื่อจำภาพพระได้จนติดใจแล้ว
(ไม่ใช่ติดตา) ต้องเรียกว่า "ติดใจ" เพราะใจนึกถึงภาพพระจะนั่ง นอน ยืน
เดิน ไปทางไหน หรืออยู่ที่ใดก็ตามต้องการนึกถึงภาพพระ
ใจนึกภาพได้ทันทีทันใดมีความรู้ในภาพพระนั้นครบถ้วนไม่เลือนลาง อย่างนี้เรียกว่า
อุคหนิมิตขั้นต้น
เป็นเครื่องพิสูจน์อารมณ์สมาธิได้ดีกว่าการนับ
ถ้าสมาธิยังทรงอยู่ภาพนั้นจะยังทรงอยู่กับใจ
ถ้าสมาธิสลายตัวไปภาพนั้นจะหายไปจากใจถ้าท่านทำได้เพียงเท่านี้
อานิสงส์คือบุญบารมีที่ท่านจะได้
อุคหนิมิตขั้นที่สอง
เมื่อสมาธิทรงตัวมากขึ้นภาพพระจะชัดเจนมากขึ้นจะใสสะอาดผุดผ่องกว่าภาพจริงถ้าท่านนึกขอให้ภาพพระนั้นสูงขึ้นภาพนั้นจะสูงขึ้นตามที่ท่านต้องการต้องการให้อยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง
เล็กลงหรือใหญ่ขึ้นจะเป็นไปตามนั้นทุกประการอย่างนี้จัดเป็นอุคหนิมิตขั้นที่สอง
สมาธิจะทรงตัวได้ดีมากจะสามารถทรงเวลาได้นานตามที่ต้องการ
อุคหนิมิตขั้นที่สาม
เป็นขั้นสุดท้ายของ "อุคหนิมิต"
เมื่อภาพนิมิตคือภาพพระปรากฏให้ถือเอาสีเหลืองเป็นสำคัญความจริงสีอื่นก็มีสภาพเหมือนกันแต่จะอธิบายเฉพาะสีเหลืองเมื่อสมาธิทรงตัวเต็มอัตรา
ภาพสีเหลืองหรือสีอื่นก็ตาม จะค่อย ๆคลายตัวเป็นสีขาวออกมาทีละน้อย ๆ ในที่สุดจะเป็นสีขาวสะอาดและหนาทึบอย่างนี้ถือว่าเป็นอุคหนิมิตขั้นสุดท้าย
ถ้าประสงค์จะใช้เป็น ทิพจักขุญาณ
ก็ใช้ในตอนนี้ได้ทันทีแต่ต้องมีความฉลาดและอาจหาญพอถ้าไม่ฉลาดและอาจหาญไม่พอก็จะสร้างความเละเทะให้เกิดมากขึ้น
วิชาทิพจักขุญาณเป็นหลักสูตรของ
วิชชาสามจึงของดไม่อธิบายเพราะจะทำให้เฝือและวุ่นวายว่าไปตามทางของ สุกขวิปัสสโก
ดีกว่าอุคหนิมิตนี้เป็นนิมิตของ "อุปจารสมาธิ" จึงยังไม่อธิบายถึง
"อัปปนาสมาธิ"
อาการและอารมณ์ของอุปจารสมาธิ
อาการของอุปจารสมาธิคือ
ปีติได้แก่อารมณ์ความอิ่มใจเมื่อทำมาถึงตอนนี้อารมณ์จะชุ่มชื่นมาก
อารมณ์สะอาดเยือกเย็น มีความเป็นสุขอย่างยอดเยี่ยม
ไม่เคยพบความสุขอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต ตอนนี้เวลาภาวนาลมหายใจจะเบากว่าปกติมาก
อารมณ์เป็นสุขร่างกายของนักปฏิบัติที่เข้าถึงระดับนี้
ผิวหนังจะนวลขึ้นเพราะอารมณ์ที่มีความสุขแต่อาการทางร่างกายนี่สิที่ทำให้นักปฏิบัติตกใจกันมากนั่นก็คือ
๑.
อาการขนลุกซู่ซ่า
เมื่อเกิดอาการอย่างนี้หรืออย่างอื่นที่กล่าวถึงต่อไปจะมีอารมณ์ใจเป็นสุข
ขอให้ทุกท่านปล่อยอาการอย่างนั้นไปตามสภาพของร่างกาย จงอย่าสนใจ เมื่อสมาธิสูงขึ้น
หรือลดตัวลงต่ำกว่านั้น อาการอย่างนั้นก็จะหมดไปเอง
อาการขนลุกพองถ้ามีขึ้นพึงควรภูมิใจว่า เราเข้าถึงอาการของปีติระดับหนึ่งแล้ว
อย่ากังวลอาการของร่างกาย ๒. อาการของปีติขั้นที่ ๒ ได้แก่อาการน้ำตาไหล๓.
อาการของปีติขั้นที่ ๓ คือร่างกายโยกโคลง
โยกไปข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้างบางคราวโยกแรง จนศีรษะใกล้ถึงพื้น๔.
อาการของปีติขั้นที่ ๔ ตามตำราท่านว่าตัวลอยขึ้นบนอากาศ
แต่ผลของการปฏิบัติไม่แน่นัก บางรายก็เต้นเหมือนปลุกตัว บางรายก็ตัวลอยขึ้นบนอากาศ
เมื่อลอยไปแล้ว ถ้าสมาธิคลายตัวก็กลับมาที่เดิมเอง (อย่าตกใจ)๕.
อาการของปีติขั้นที่ ๕ คือ
มีอาการแผ่ซ่านในร่างกายซู่ซ่าเหมือนมีลมไหลออกในที่สุดเหมือนตัวใหญ่และสูงขึ้น
หน้าใหญ่แล้วมีอาการเหมือนลมไหลออกจากกาย
ในที่สุดก็มีความรู้สึกว่าตัวหายไปเหลือแต่ท่อนหัวอาการทั้งหมดนี้
เมื่อเกิดขึ้นอารมณ์ใจจะมีความสุข ฉะนั้น นักปฏิบัติให้ถืออารมณ์ใจเป็นสำคัญ
อย่าตกใจในอาการตามที่กล่าวมาแล้วนั้น พอสมาธิสูงถึงระดับฌานก็จะสลายตัวไปเอง
ปีตินี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วอารมณ์จะเป็นสุข คือถึงระดับที่สี่ ที่จะเข้าถึงปฐมฌาน
ต่อไปก็เป็นปฐมฌานเพราะอยู่ชิดกัน
0 ความคิดเห็น