ปลุกมันขึ้นมาฆ่า     นิทานชาดก 


                       ในสมัยพุทธกาล    วัดเวฬุวัน แห่งกรุงราชคฤห์  ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงปรารภถึงเรื่องของพระเจ้าอชาตศัตรู พระราชาองค์ที่ 3 แห่งแคว้นมคธ ผู้หลงผิดกระทำปิตุฆาตต่อพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นบิดา ที่ไปยกย่องอสัตบุรุษ ได้ทรงนำอดีตนิทานเรื่องหนึ่งขึ้นมาสาธกว่า

ในอดีตชาติหนึ่งของพระโพธิสัตว์ ทรงได้เกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มีสานุศิษย์อยู่ประมาณ 500 คน หนึ่งในบรรดาสานุศิษย์มีมานพผู้หนึ่งชื่อว่า สัญชีวะ ซึ่งเขาได้เรียนมนต์คาถาสามารถปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้ แต่ไม่ได้เรียนมนต์สำหรับการป้องกันไว้



วันหนึ่งสัญชีวะและเพื่อนมานพได้เข้าไปหาฟืนกันในป่า เมื่อเดินเข้าไปก็พบกับซากเสือโคร่งตัวหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่ เขาและเพื่อนๆ จึงตกลงกันว่าจะเข้าไปดู เมื่อเข้าไปใกล้และมั่นใจว่าเสือนั้นตายแล้วจริงๆ ด้วยความอยากลองวิชาที่เรียนมา หรืออยากช่วยชีวิตเสือตัวที่อยู่ตรงหน้านี้ สัญชีวะก็ถามเพื่อนๆ ว่า “พวกท่านเชื่อหรือไม่…ว่าเราสามารถทำให้เสือตัวนี้ฟื้นได้” พวกเพื่อนๆ ไม่มีใครเชื่อ และอยากพิสูจน์จึงท้าสัญชีวะว่า “ถ้าท่านทำได้ ก็ปลุกมันขึ้นมาให้พวกเราชมเถิด” จากนั้นบรรดาเพื่อนๆ ก็ต่างรีบปีนขึ้นต้นไม้ไปเพื่อรอดู

สัญชีวะจึงทำสมาธิแล้วทำการร่ายมนต์พร้อมกำก้อนหินก้อนหนึ่งในมือ เมื่อร่ายมนต์เสร็จก็ปาก้อนหินในมือไปยังเสือที่นอนแน่นิ่งอยู่ ทันใดนั้นเอง…เสือที่นอนร่างไร้วิญญาณก็ลุกขึ้นกระโจนเข้าใส่สัญชีวะแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อรู้ตัวอีกทีคอเขาก็มีเลือดไหลอาบลงมาไม่หยุด…และสิ้นใจลงตรงนั้น ท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆ ที่ไม่สามารถช่วยเขาได้
  

และสุดท้ายที่ที่เสือตัวนั้นเคยนอนตาย บัดนี้ได้กลายเป็นที่ของนายสัญชีวะ จากนั้นเพื่อนๆ ของเขาก็ขนฟืนแล้วรีบนำเรื่องนี้มาบอกแก่อาจารย์ทิศาปาโมกข์ทันที อาจารย์จึงกล่าวคาถาว่า

“ผู้ใดยกย่องและคบหาคนชั่ว คนชั่วย่อมกระทำผู้นั้นแหละให้เป็นเหยื่อ เหมือนเสือโคร่งที่สัญชีวมานพทำให้ฟื้นขึ้น แล้วทำเขานั้นแลให้เป็นเหยื่อ”



 นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  : การที่นิยมยกย่องคนไม่ดี ย่อมประสบความเดือดร้อน